กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญา
การมีเพียงกฎหมายรับรองสภาพบุคคล ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์วินและในครอบครัวของบุคคลถือว่ายังไม่ครบถ้วน เพราะยังขาดเครื่องมือที่จะทำให้บุคคลทำการเปลี่ยวแปลงสิทธิของตน หรือทำสินทรัพย์หมุนเวียนเปลี่ยนมือกัน
กฎหมายจึงต้องกำหนดนิติกรรมและสัญญาขึ้น เพื่อให้บุคคลเปลี่ยนแปลงสิทธิของตนได้ด้วยความตั้งใจซึ่งในการดำรงชีวิตประจำวันของบุคคลจะมีการติดต่อกับผู้อื่นเสมอ จึงจำเป็นต้องอาศัยนิติกรรมและสัญญาอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เช่น การซื้ออาหารกลางวันและของใช้ต่างๆเป็นต้น
นิติกรรม ได้แก่ การแสดงเจตนาของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมาย มุ่งโดยตรงต่อการผูกความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคล เพื่อที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับสิทธิ เช่น การแสดงเจตตนาทำพินัยกรรม การทำคำเสนอไปยังบุคคลอื่น เพื่อชักชวนให้ทำสัญญาด้วย การทำคำสนองตอบรับคำเสนอ การบอกเลิกสัญญา เป็นต้น
นิติกรรมต้องเป็นการแสดงเจตนาหรือความตั้งใจออกมาภายนอก เช่น โดยวาจาหรือการเขียนหนังสือ การนิ่งอาจถือว่าเป็นการแสดงเจตนายอมรับได้ในบางครั้ง
อนึ่ง นิติกรรมต้องทำโดยสมัครใจ คือ ไม่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือถูกขู่เข็ญบังคับ หรือขาดสติสัมปชัญญะ นิติกรรมซึ่งทำโดยผู้หย่อนความสามารถ เช่น ผู้เยาว์ อาจถูกบอกล้างด้วยผู้แทนโดยชอบธรรมได้ ในกรณีที่ทำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบเนื่องจากหย่อยความสมารถนั้น
สัญญา คือ นิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนาเสนอและสนองตรงกัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้น
สัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ คือก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างบุคคลที่เรียกว่า เจ้าหนี้ กับบุคคลที่เรียกว่า ลูกหนี้ ขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำรำหนี้ได้ตามแต่ลักษณะของหนี้นั้น สัญญาหลายชนิดจำเป็นและมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยหลักทั่วไปบุคคลยอมมีความสามารถในการทำนิติกรรม แต่มีข้อยกเว้นในเรื่องความสามารถ คือ บุคคลบางประเภทในทางกฎหมายถือว่าหย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา เช่น ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ และบุคคลล้มละลาย โดยกฎหมายได้กำหนดความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญาของบุคคลเหล่านี้ไว้ ดังนี้
ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม เว้นแต่นิติกรรมที่ได้มาโดยซึ่งสิทธิโดยสิ้นเชิง หรือเพื่อให้หลุดพ้นหน้าที่ หรือการที่ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือกิจกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจำเป็นในการเลี้ยงชีพ ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
คนไร้ความสามารถต้องอยู่ในความอนุบาล กิจการใดๆ ของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลต้องเป็นผู้ทำเองทั้งสิ้น ส่วนคนเสมือนไร้ความสามารถทำกิจการเองได้ทุกอย่าง เว้นแต่กิจกรรมบางอย่างจะทำได้ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ เช่น สัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นต้น
บุคคลล้มละลายจะทำนิติกรรมใดๆ ไม่ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำสั่งศาลจะเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน
ดังนั้น นิติกรรมและสัญญาที่กระทำโดยบุคคลข้างต้น โดยปราศจากความยินยอมจากบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้จะกลายเป็นโมฆียะ ซึ่งอาจถูกบอกล้างได้
ทั้งนี้ในการทำนิติกรรมสัญญาใดๆ นั้น จะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหาย ไม่เป็นการพ้นวิสัย และต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะถ้าหากฝ่าฝืนหลักการดังกล่าว นิติกรรมสัญญานั้นก็จะถือเป็นโมฆะ หรือใช้ไม่ได้ ไร้ผลบังคับโดยสิ้นเชิง
นิติกรรมสัญญาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.นิติกรรมฝ่ายเดียว ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวและมีผลตามกฎหมาย ซึ่งบางกรณีก็ทำให้ผู้ทำนิติกรรมเสียสิทธิได้ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิ การรับสภาพหนี้ การผ่อนเวลาชำระให้ลูกหนี้ คำมั่นจะซื้อจะขาย การทำพินัยกรรม การบอกกล่าวบังคับจำนอง เป็นต้น
2.นิติกรรมสองฝ่าย(หรือนิติกรรมหลายฝ่าย) ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปและทุกฝ่ายต่างตกลงยินยอมระหว่างกัน กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำเป็นนำเสนอ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็นคำสนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน จึงเกิดมีนิติกรรมสองฝ่ายขึ้น หรือเรียกกันว่า สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืม สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาขายฝาก จำนอง จำนำ เป็นต้น |