8.การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์
ในงานบุคคล |
|
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานบุคคล
การจัดการงานฝ่ายบุคคล (Human Resource) เป็นส่วนสำคัญในงานธุรกิจ โดยการใช้คอมพิวเตอร์
จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลงานบริหารทรัพยากรบุคคล ก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยลดความซ้ำซ้อนข้อมูล
ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ช่วยลดเวลาการทำงาน ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงานของพนักงานในองค์กร
และทำให้สามารถบริหารงานได้มีประสิทธิภาพขี้น เป็นต้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคลสามารถช่วยได้ดังนี้
1.ข้อสำคัญในการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งข้อมูลแต่ละระบบมีความเกี่ยวข้องกันรายงานต่างๆ
จะเน้นให้รู้จักการเก็บข้อมูลและรายงานที่ต้องการแต่ล่ะระบบข้อมูล
2. ระบบข้อมูลเพื่อการบริหารทรัพยากรบุคคล จากข้อมูลที่ใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคลก่อให้เกิดเป็นการออกแบบ
ระบบข้อมูลเพื่อการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยจำแนกตามโครงสร้างของภารกิจและเทคนิคการจัดเก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ
ออกได้เป็น 3 ระบบข้อมูลและระบบตารางดังนี้
1) ระบบข้อมูลทะเบียนประวัติ 2) ระบบข้อมูลผลตอบแทน
3) ระบบข้อมูลพัฒนาบุคลากร 4) ระบบตารางรหัสข้อมูล
แต่ละระบบข้อมูล จัดแบ่งข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เป็นระเบียบ สะดวกต่อการดูแล สะดวก
ต่อการเขียนโปรแกรมเรียกใช้และสะดวกต่อการขยายระบบ เช่น การเก็บข้อมูลหลักที่สำคัญ
แต่การใช้งานจริงนั้นต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับรายละเอียดที่แต่ต่างกันในแต่ละองค์กร เช่น
1.ระบบข้อมูลทะเบียนประวัติ
2. ระบบข้อมูลผลตอบแทน เช่น งานเงินเดือน งานเลื่อนขั้นเงินเดือนและงานสวัสดิการ เป็นต้น
3. ระบบข้อมูลพัฒนาบุคลากร เช่น งานอมรมและสัมมนา งานประเมิน เป็นต้น
4. ระบบตารางรหัสข้อมูล เช่น ระบบข้อมูลทะเบียนประวัติ ผลตอบแทนและพัฒนาบุคลากร
3.รายงานเพื่อการบริหารทรัพยากรบุคลเป็นรายงานเพื่อแสดงรายละเอียดและสถิติของผลการปฏิบัติงาน
เพื่อใช้ในการติดตามปฏิบัติงานและกำหนดกรอบด้านบุคลากร เช่น
1. รายงานเพื่อกำหนดกำลังคน
2. รายงานเพื่อกำหนดการพัฒนาสายงานอาชีพ
3. รายงานเพื่อกำหนดโครงสร้างเงินเดือน
การบันทึกข้อมูลพนักงาน
1.การบันทึกข้อมูลพนักงานเป็นสิ่งแรกที่ควรในงานการจัดการงานบุคคล และการจัดการข้อมูล
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การดูจำนวนพนักงานที่สังกัดแผนกต่างๆ เพื่อใช้ในการวางแผนรับงาน
ให้เหมาะสม โดยการใช้การจัดรูปแบบตาราง (Format as Table X) ช่วยกรองข้อมูลที่ต้องการ
ขั้นตอนการจัดทำตารางข้อมูลพนักงาน
ขั้นที่ 1 ป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นที่ 2 เลือกช่วงข้อมูลดังนี้
ขั้นที่ 3 เลือกคำสั่ง Format as Table เลือกรูปแบบตาราง ดังรูป
ทดสอบการใช้ตัวกรองข้อมูล โดยเลือกที่คอลัมน์ แผนก คลิกเลือกเฉพาะแผนกการตลาด
การบันทึกข้อมูลพนักงาน 2
การบันทึกข้อมูลพนักงานเพื่อนำข้อมูลมาใช้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งการบันทึกข้อมูลเพื่อแสดงจำนวนของพนักงานของแผนกต่างๆ และจำนวนเงินเดือนที่พนักงานแต่ละคนได้รับคำสั่งฟังก์ชันที่ใช้มีดังนี้
Data Validation การตรวจสอยความถูกต้องข้องข้อมูล เพื่อให้ป้อนข้อมูลให้ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งสามารถแสดงเกณฑ์ในการป้อนข้อมูลของแต่ละเซลล์ แสดงข้อความเมื่อมีการป้อนข้อมูลไม่ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด
Count A คำสั่งในการนับเซลล์ที่มีข้อมูลที่เป็นข้อความ
Countlf คำสั่งในการนับจำนวนตามเงื่อนไขที่กำหนด
ขั้นตอนการจัดทำตารางข้อมูลพนักงาน
ขั้นที่ 1 สร้างตารางและป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นตอนที่ 2 สร้างการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Data Validation)
2.1 คอลัมน์อายุใช้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตามเงื่อนไขดังนี้
เมื่อคลิกเลือกเซลล์ที่ต้องป้อนอายุ จะแสดงข้อกำหนดในการป้อนข้อมูลดังนี้ เลือกใส่อายุได้
ระหว่าง 20 ปี ถึง 60 ปี เพียงเท่านั้น
ป้อนข้อมูลในเซลล์อายุ ระหว่าง 20 – 60 ปี
ถ้าป้อนผิดตามเกณฑ์ที่กำหนดจะแสดงข้อความแจ้งความผิดพลาดว่า ป้อนข้อมูลไม่ถูกต้องกรุณา
ป้อนข้อมูลใหม่
การบันทึกข้อมูลเวลาทำงานข้อพนักงาน
หน้าที่หนึ่งของฝ่ายบุคคลคือ การบันทึกเวลาการทำงานและควบคุมเวลาการทำงานของพนักงานเพื่อเก็บข้อมูล
ส่วนหนึ่งในการประเมินผลงานของพนักงาน คำสั่งและฟังก์ชันที่ใช้มีดังนี้
Hour แปลงค่าตัวเลขลำดับเป็นชั่วโมง
Minute แปลงค่าเลขลำดับเป็นนาที
If คำสั่งสั่งให้ทำตามเงื่อไขขั้นตอนการจัดทำตารางข้อมูลพนักงาน
ขั้นที่ 1 สร้างตารางและป้อนข้อมูลตามตารางงานขั้นที่ 2 จัดรูปแบบเซลล์ที่ใช้คำนวณเวลา
2.1 เลือกเซลล์ที่เป็นข้อมูลเวลา
2.2 คลิกเมาส์ขวา เลือก Format Cells กำหนดรูปแบบเวลา
ขั้นที่ 3 ใส่คำสั่งและฟังก์ชันในส่วนของข้อมูลการมาสายดังนี้
ขั้นที่ 4 ใส่คำสั่งและฟังก์ชันในส่วนของข้อมูลเลิกก่อน ดังนี้
ขั้นที่ 5 ป้อนข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้อง
การบันทึกบัตรลงเวลาพนักงานเพื่อคำนวณค่าจ้าง
การบันทึกเวลาการทำงานเพื่อใช้ในการคำนวณค่าพนักงานของพนักงานแต่ละคนเป็นเอกสารและหลักฐาน
ให้ฝ่ายการเงินและบัญชีทำการจ่ายเงินให้กับลูกจ้างตามสัญญา คำสั่งและฟังก์ชันที่ใช้ดังนี้
Data Validation การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เพื่อใช้ป้อนข้อมูลเดือน
Sum ใช้รวมงานจำนวนตัวเลขในเซลล์
& ใช้สำหรับรวมข้อความกับการอ้างอิงข้อมูลในเซลล์
ขั้นตอนการจัดทำบัตรลงเวลาเวลาพนักงานเพื่อคำนวณค่าจ้าง
ขั้นที่ 1 สร้างตารางและป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นที่ 2 สร้างตารางและป้อนข้อมูลตามตาราง
เลือกเซลล์ B7 เลือกคำสั่ง Data Validation จะปรากฏหน้าต่าง Data Validation
การคำนวณเงินประกันสังคม
เงินประกันสังคม เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่นายจ้างต้องหักเงินจากเงินเดือนหรือค่าจ้างและนายจ้างจ่ายสมทบอีก 5%
เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้าง ลูกจ้างจะต้องนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยคำนวณจากค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับ ซึ่งกำหนดจากฐานค่าจ้างเป็นรายเดือนต่ำสุดเดือนละ 1560 บาท สูงสุดเดือนละ
ขั้นตอนการจัดทำตารางคำนวณเงินประกันสังคม
ขั้นที่ 1 ป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นที่ 2 ใส่ฟังก์ชันIF เพื่อกำหนดเงื่อนไขตามกฎหมายดังนี้
ถ้าเงินเดือนน้อยกว่า 15,000 ให้นำเงินเดือน x 5% ถ้าไม่เป็นตามเงื่อนไขให้นำเงินเดือนขั้นสูงสุดที่กำหนดคือ
15,000 x 5% และทำการคัดลอกสูตร ดังรูป
ขั้นที่ 3 ใช้รูปแบบตารางเพื่อเลือกดูข้อมูลที่ต้องการ โดยเลือกช่วงดังนี้
การคิดค่าล่วงเวลา
ตามกฎหมายกำหนดให้วันหนึ่งนายจ้างต้องให้ลูกจ้างทำงานไม่เกินกว่าวันล่ะ 8 ชั่วโมง การคำนวณค่าล่วงเวลาจากเงินเดือน ให้ทำการคำนวณค่าจ้างต่อเดือนให้เป็นรายวัน โดยนำเอาเดือนหารด้วย 30 วัน
ก็จะได้ค่าจ้างต่อเดือนหรือนายจ้างอาจหารด้วยจำนวนวันที่ทำงานจริงในเดือนนั้น เช่น หารด้วย 22 วันทำการก็ได้ และจะใช้อัตรานี้ในการคำนวณค่าล่วงเวลา หรือคำนวณการทำงานในวันหยุด ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 9,000 บาท ค่าจ้างต่อวันเท่ากับ (9,000 บาท / 30 วัน ) = 300 บาท
ส่วนการคำนวณค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง เพื่อเป็นพื้นฐานในการคำนวณค่าลวงเวลา ให้นำค่าจ้างต่อวันที่คำนวณได้นั้น มาหารด้วยเวลา หากบริษัทมีเวลาทำงานปกติอยู่ที่ 8 ชั่วโมง ก็นำ 8 มาหาร อัตราค่าจ้างต่อวัน ตัวอย่าง อัตราค่าจ้างต่อวันเท่ากับ 300 หาร 8 จะได้ชั่วโมงละ 37.50 บาท
ขั้นตอนการคำนวณค่าล่วงเวลา
ขั้นที่ 1 ป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นที่ 2 ใส่ฟังก์ชัน IF เพื่อกำหนดเงื่อนไข
ขั้นที่ 3 ใส่ฟังก์ชัน Sum เพื่อรวมยอดเงินทั้งหมดที่คอลัมน์ รวม
ขั้นที่ 4 ทดสอบการเปลี่ยนจำนวนเงินเดือนและตรวจสอบว่าเป็นเงื่อนไขหรือไม่
การคำนวณโบนัสการคำนวณโบนัส
การจ่ายโบนัสประจำปี แต่ละบริษัทจะมีแนวคิดและวิธีการที่แตกต่างกันไป โดยส่วนมากจะมี หลักการพิจารณาดังนี้
1. การรับประกันการจ่ายโบนัส หรือ การันตี (Guarantee) หมายถึงการรับประกันการจ่ายโบนัสว่าจะมีการจ่ายให้ขั้นต่ำ 1 เดือน หรือมากกว่า ส่วนที่เหลือจะพิจารณาจากผลกำไรของบริษัทก่อน ซึ่งมีข้อดีว่าพนักงานมั่นใจว่ามีโบนัสขั้นต่ำตามที่กำหนด
2. การประเมินเพื่อจ่ายโบนัสประจำปี โดยมีวิธีการประเมินหลายแบบ บางบริษัทมีการแบ่งเกรดประเมินเป็น 5 เกรด คือ A,B,C,D,E หรือมากกว่า
3. การกำหนดโควตา (Quota) หมายถึง การกำหนดสัดส่วนการกระจายการประเมินผล เช่น A=5%,B=10%,C=70%,D=10%.E =5%
ขั้นตอนการจัดทำตารางคำนวณโบนัส
ขั้นที่ 1 ป้อนข้อมูลตามตาราง
ขั้นที่ 2 ป้อนข้อมูลโดยใช้คำสั่งการตรวจสอบข้อมูล
การหาระยะเวลาการทำงานเป็นจำนวนวัน (Work Duration)
การจัดทำตารางการทำงาน เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้สำหรับการวางแผนและการควบคุมแผนการปฏิบัติการ
ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และใช้ควบคุมตารางการทำงานของพนักงาน
ขั้นตอนการจัดทำตารางการหาระเวลาการทำงานเป็นจำนวนวัน
วิธีการ ใช้คำสั่ง Datedif ในการคำนวณวัน
รูปแบบคำสั่ง =DATEIF (วันที่เริ่มต้น,วันที่สิ้นสุด,รูปแบบผลลัพธ์)
โดย รูปแบบผลลัพธ์ มีอยู่ด้วยกัน 6 แบบ คือ
Y หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนเต็มปี
YM หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนเงินเดือน แบบปีชนปี
YD หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนวัน แบบปีชนปี
M หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนเต็มเดือน (เศษตัดทิ้ง)
MD หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนวัน แบบเดือนชนเดือน
D หมายถึง หาผลต่างเป็นจำนวนเต็มวัน
สูตรที่นำไปใช้งานจริง
สูตรที่ใช้ในการคำนวณจะทำการ +1 เนื่องจากการคำนวณจากโปรแกรม จะใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ เช่น นำวันที่ 18- วันที่ 15 จะได้เท่ากับ 3 วัน ซึ่งในทางปฏิบัติจะนับตั้งแต่วันเริ่มต้น ซึ่งจากตัวอย่างนี้จะได้ 4 วัน
=DATEDIF(C15,D15, “d”)+1
ทดสอบการเปลี่ยนวันที่เริ่มต้นหรือวันที่สิ้นสุด และตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่
|